www.12kick.com
Menu

อาหารเสริมผิวขาว...ดีจริงหรือ?

      ปัจจุบันในท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อวดอ้างสรรพคุณว่าสามารถบำรุงให้ผิวขาวใสขึ้นได้ แต่ในการจะเลือกซื้อหามารับประทานนั้น คุณควรพิจารณาจากสารสำคัญที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์นั้นๆ ว่าจะให้ประโยชน์ต่อผิวและมีผลกระทบต่อร่างกายอย่างไรบ้าง สารสำคัญในอาหารเสริมผิวขาว ได้แก่ กลูต้าไธโอน วิตามินซี สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ซึ่งสารแต่ละตัวมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

    เป็นสารที่คนส่วนใหญ่รู้จักว่าช่วยทำให้ผิวดูขาวขึ้น นิยมใส่ในอาหารเสริมสำหรับผิวขาว ทั้งแบบเม็ด แคปซูล และแบบชงดื่ม ความจริงแล้วกลูต้าไธโอนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกายจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ กลูต้าไธโอนเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดีมากชนิดหนึ่ง ซึ่งร่างกายสามารถผลิตเองได้ และมีการค้นพบว่ากลูต้าไธโอนมีคุณสมบัติในการลดการสร้างเม็ดสีผิวหรือเมลานินได้ (Antimelanogenic properties) ดังนั้นจึงอาจทำให้ผิวขาวขึ้นได้ 
    แต่ก็ยังมีข้อโต้เถียงถึงประสิทธิภาพและการใช้สารนี้ในด้านการปรับสีผิวอยู่เรื่อยๆ เริ่มแรกกลูต้าไธโอนได้เป็นที่รู้จักในด้านสารที่มีสมบัติทำให้ผิวขาว และพบว่าสีผิวของผู้ได้รับการฉีดดูขาวขึ้นเนื่องจากกลูต้าไธโอนไปยับยั้งการเกิดเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) และส่งผลให้เม็ดสีผิวจากสีน้ำตาลกลายเป็นสีชมพู จากนั้นมา กลูต้าไธโอนจึงเป็นที่รู้จักกันในยาฉีดที่ทำให้ผิวขาวเร็ว แต่กฏหมายไทยและอเมริกายังถือว่าการฉีดกลูต้าไธโอนเป็นสิ่งผิดกฏหมาย หลังจากนั้น มีการนำกลูต้าไธโอนมาผสมในอาหารเสริม และอ้างสรรพคุณว่าทำให้ผิวขาว
    ซึ่งจากผลงานวิจัยหลายชิ้นที่มีการทดลองทั้งในสัตว์ทดลองและในมนุษย์พบว่า เมื่อสัตว์ทดลองได้กินกลูต้าไธโอนไปแล้ว สารกลูต้าไธโอนจะถูกย่อยสลายทั้งหมดที่ไต และการทดลองในคนก็พบว่ากลูต้าไธโอนจะถูกย่อยสลายไปเป็นกรดอะมิโนและจะสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่เองโดยเซลล์ในร่างกาย แต่บางการทดลองในมนุษย์ก็พบว่าการรับประทานกลูต้าไธโอนปริมาณ 15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว ทำให้ระดับกลูต้าไธโอนเพิ่มขึ้นได้จริง
    มีการทดลองของนักวิจัยในสหรัฐอเมริกาที่ทำการทดลองถึง 6 เดือนในผู้ใหญ่ 54 คน พบว่าการรับประทานกลูต้าไธโอนปริมาณ 250-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของระดับกลูต้าไธโอนและส่วนใหญ่จะลดลงเหลือเท่าเดิมหลังจากหยุดยา 1 เดือน แต่ก็มีการพบว่าระดับกลูต้าไธโอนไม่ต่างจากปกติ เช่น การทดลองของนักวิจัยในสหรัฐอเมริกาที่ทดลอง 1  เดือนในผู้เข้าร่วมการวิจัย 40 คน พบว่าการรับประทานกลูต้าไธโอนปริมาณ 1000 มิลลิกรัมต่อวัน ไม่มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของระดับกลูต้าไธโอน 
    ดังนั้นกลูต้าไธโอนจากการรับประทานอาจไม่มีผลต่อระดับกลูต้าไธโอนในร่างกาย และอาจไม่ส่งผลให้ผิวมีสีขาวขึ้น อาจสังเกตได้ว่าในอาหารเสริมที่มีกลูต้าไธโอนมักมีวิตามินซี วิตามินอี Alpha-lipoic acid, N-acetyl cysteine, Grape seed extract ผสมอยู่ด้วย ซึ่งเป็นไปได้ว่าผู้รับประทานอาหารเสริมแล้วผิวขาวขึ้น อาจเป็นเพราะวิตามินและสารสกัดอื่นๆ เหล่านี้

     เป็นวิตามินที่มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก และนิยมใช้ในอาหารเสริม ทั้งเป็นแบบวิตามินซีล้วนๆ หรือผสมกับสารอาหารบำรุงผิวอื่นๆ วิตามินซีและอนุพันธ์ของวิตามินซีมีผลการวิจัยว่าช่วยลดการสังเคราะห์เม็ดสีผิวได้ ซึ่งวิตามินซีจะไปช่วยลดการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้ในการสร้างเม็ดสีผิวหรือเมลานิน (Melanogenesis)
    ดังนั้นวิตามินซีจึงนิยมใช้เป็นสารลดการสร้างเม็ดสีและรักษาผิวจากโรคที่เกี่ยวกับการสร้างเมลานิน เช่น ฝ้า หรือจุดด่างดำ

    เป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง และประกอบด้วยสาร Oligomeric proanthocyanidic  หรือเรียกกว่า OPC นักวิจัยได้พบว่าสารนี้มีฤทธิ์ปกป้องเซลล์จากการทำร้ายจากแสงยูวี และช่วยลดรอยแดงของเซลล์ที่ถูกทำลาย เช่นการอักเสบของสิว นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนซึ่งเป็นสารสำคัญของชั้นผิวหนังอีกด้วย
    ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือที่เรียกกันติดปากว่าอาหารเสริมบางอย่างนั้น มีผลช่วยให้ผิวดูขาวแลกระจ่างใสได้ แต่ก่อนจะรับประทานจะเราต้องพิจารณาเลือกเฉพาะอาหารที่มี อย. และสามารถตรวจสอบได้ สำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีกลูต้าไธโอน นอกจากจะมีงานวิจัยยืนยันว่าไม่ได้ส่งผลต่อเม็ดสีผิวแล้ว การรับประทานกลูต้าไธโอนในผู้ป่วยมะเร็งจะต้องระวังเนื่องจากจะทำให้เซลล์มะเร็งต้านยารักษาได้สารที่ช่วยให้ผิวขาวขึ้นนั้นอาจมาจากวิตามินซี วิตามินอี สารสกัดเมล็ดองุ่น หรือสารอื่นๆ ที่ประกอบอยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรืออาหารเสริมนั้นๆ มากกว่า อย่างไรก็ตาม คุณสามารถดูแลผิวให้กระจ่างใสได้จากการทาครีมกันแดด ออกกำลังกาย พักผ่อนอย่างเหมาะสม ทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคู่ไปด้วย จะให้ผลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

โพสต์โดย : solo solo เมื่อ 8 ก.ย. 2567 12:35:55 น. อ่าน 6 ตอบ 0

facebook